เข้าใจคำว่า “น้ำเต็มแก้ว” ก็ตอนที่เห็นแบงค์ 500 นี้
….ในวันนั้น

แค่เห็นก็น้ำตาร่วง

13 ตุลาคม เราเดินทางไปถึงบ้านที่สิงห์บุรี ตามแพลนที่วางไว้
เพื่อเตรียมตัวไปงานสวดพระอภิธรรมคุณแม่ของเพื่อน
และเตรียมตัวที่จะเดินทางพาคนในครอบครัวไปพักผ่อนที่หัวหิน ในเช้าวันรุ่งขึ้น
ตามที่ได้วางแผนกันมานานและจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว

แต่พอไปถึงบ้าน..
เห็นแต่ความเงียบ ทั้งที่ทุกคนก็กำลังนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ และโต๊ะกินข้าว
ได้ยินแต่ประโยคที่ว่า.. “พรุ่งนี้ ไม่ไปแล้วนะ..”

สรุปคือ การเดินทางก็ยังมีอยู่ แต่แพลนเปลี่ยนแปลงไป
หน้าที่ ความรับผิดชอบ ยังมีอยู่ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป..
เราผ่านภารกิจค่ำคืนนั้น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหมือนมันไม่ใช่ความจริง ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากรับรู้
แม้แต่ชุดสีดำ ยังไม่อยากจะเปลี่ยน ไม่อยากจะหาเตรียมไว้

ค่ำคืนนั้นผ่านไป ด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง จนถึงเช้า
มันหลับตาไม่ลง มันโหวงเหวง เหมือนใจหมดพลัง
เปิดอ่านเฟสก็เห็นแต่น้ำที่มันเอ่อออกมาบังม่านตาอยู่ รีบเปิดผ่านๆ
ได้แต่ไลน์บอกคนในบ้าน ว่าถ้าตาม social จะหวั่นไหวมาก
ตอนเช้า ก็เดินมาส่งกลุ่มครอบครัวที่ต้องเดินทางไปก่อน
เราขอตามไปทีหลัง.. เหมือนยังอยู่ในภวังค์

สายๆเดินไปหาพ่อ ระหว่างรอรถพี่ที่จะมารับที่บ้านตอนบ่าย
ถามพ่อ ..รู้ข่าวไหม เพราะพี่สาวบอกว่าไม่รู้จะบอกพ่อยังไง
พ่อพูดด้วยเสียงปกติ ว่าพ่อก็รู้ของพ่อเอง พ่อตามข่าวตลอด
แล้วพ่อก็เอามือปาดน้ำตา..
dad1
หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกันสั้นๆ เพราะเสียงเริ่มไม่ปกติกันแล้ว

เมื่อถึงเวลานัด พี่ก็ขับรถมารับแล้วออกเดินทางต่อไป
ระหว่างทาง เราก็นั่งเงียบมาตลอด พยามไม่เปิดเนตดูอะไร
แต่หันไปทางซ้าย ก็เห็นป้าย หันทางขวา ก็มีป้าย
มองหันไปอีกทาง ก็มีแต่ผู้คนใส่ชุดสีดำ น้ำตาก็เอ่อมาตลอด
กระดาษทิชชู่อยู่ในกระเป๋าที่คิดว่าจะทิ้ง
ก็ต้องหยิบมาใช้ เช็ดน้ำมูกจนเปียกชุ่มทุกมุมแล้วก็ยังทิ้งไม่ได้

จนพี่แวะปั๊มเติมน้ำมัน เราก็เดินเข้าร้านค้า
เตรียมซื้อนมสดไว้กินกับกาแฟวันพรุ่งนี้ และขนมเผื่อเด็กๆ
ก็หยิบๆมาวางที่เคาน์เตอร์ไม่คิดอะไร จนถึงตอนจ่ายตังค์
ทันทีที่ล้วงหยิบแบงค์ 500 ใบนี้ แล้ววางลงบนเคาน์เตอร์
น้ำตาที่เอ่อๆมาอยู่ตลอด ก็ล้นออกมา ไม่หยุด..
รีบเอามือปาดน้ำตา รับเงินทอน แล้วหันหลังเดินออกมา

ไปที่ห้องน้ำ เปิดก๊อกล้างหน้า ล้างเท่าไร ก็ยังไหลอยู่
ไหลๆๆๆ ก็ล้างๆๆๆ แล้วมองหน้าตัวเองในกระจก
เพิ่งเห็นว่าขอบตาช้ำ จมูกแดงไปหมด
“ท่านก็อยู่กับเรามาตลอด ไม่ได้ไปไหน เราสิ..จะหนีไปไหน”

…..
“น้ำเต็มแก้ว” มันคงปริ่มมาอยู่นานแล้วสินะ
เราเฝ้าถือและประคองอยู่ตลอด เพราะกลัวถูกกระทบจากภายนอก
แต่สุดท้าย เมื่อหยุดนิ่งแล้ว มันกลับล้น รินไหลออกมาเอง
เพราะที่มันสั่นไหว..
คือข้างใน-ใจ ที่เราถือเอาไว้ต่างหาก

ถามใจตัวเองให้ดีเถอะนะ
ว่าที่ ..เสียใจ
เพราะ-ใจเรา-ไม่อยาก-ให้ท่านจากไป..ใช่ไหม
แล้วจะให้ท่านต้องอยู่เหน็ดเหนื่อยเพื่อเรา ไปอีกนานแค่ไหนกัน

หากตอบว่า ..เสียดาย
ยังไม่ทันได้ทำอะไรตอบแทนพระคุณท่านเลย
มันก็ยังไม่สายเกินไปมิใช่หรือ ที่จะตอบแทนพระคุณหรือเดินตามรอยท่าน
คงไม่จำเป็นต้องให้ท่านเห็นกับตาใช่ไหม..
ดังนั้นแล้ว ถ้ามีอะไรดีๆที่คิดไว้อยากจะตอบแทนพระองค์ท่าน
ก็ทำสิคะ จะรออะไร

คิดได้ ดั่งนี้แล้ว..
เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อันมืดครึ้ม สว่างไสวขึ้นมาในใจทันที
…..

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *